เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ พ.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราทำบุญเนาะ เราต้องการความมั่นคง โลกเขาต้องการอำนาจกันนะ แสวงหาอำนาจ อำนาจทำให้คนเสีย ถ้าอำนาจเป็นธรรม อำนาจนั้นจะเป็นคุณงามความดี อำนาจที่จะทำให้คนเสียเพราะหลงใหลไง เพราะขาดสติ เราถึงแสวงหาอำนาจเพื่อความมั่นคง แต่พอมีอำนาจแล้วเราก็หลงระเริง นี่อำนาจทางโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเหมือนแท่งไฟ ทุกคนวิ่งเข้าไปกอดแท่งไฟ บอกว่าร้อนๆๆ แล้วก็ทุกข์ยากกัน

แต่อำนาจโดยธรรมนะ ถ้าอำนาจโดยธรรม เรามีสติ มีปัญญา ถ้าเป็นธรรมนะมันควบคุมกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราได้ คำว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากคือว่ามันวิตกกังวลโดยไม่มีความจำเป็น แต่ถ้ามันเป็นสติปัญญาของเราล่ะ? เห็นไหม มันมีสติ มันถึงมีอำนาจครอบคลุม ถ้ามีอำนาจครอบคลุม มันครอบคลุมกิเลสไว้ ถ้าครอบคลุมกิเลสไว้ ถ้ามีสติปัญญา

ในสมัยโบราณนะ เวลาพวกทาส เวลาเขามีสติปัญญาของเขา เขามีมวลชนของเขา เขาสามารถยึดอำนาจของเขา เขาเป็นกษัตริย์ได้นะ แม้แต่ทาสถ้ามีสติปัญญา เพราะ! เพราะเขาเป็นทาสโดยสังคม โดยเรื่องของโลก แต่สติปัญญาของเขา เขามีอำนาจในตัวของเขาเอง อำนาจที่เป็นธรรม เห็นไหม อำนาจที่เป็นธรรมมันมีสติปัญญา พอมีสติปัญญามันแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ ถ้าแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้นะ เราคิดคำนวณได้ว่าสิ่งใดควรและไม่ควร

คำว่าควรหรือไม่ควร เห็นไหม เวลาพระเรามาประพฤติปฏิบัติ เป็นอาบัติ ต้องอาบัติเพราะความไม่รู้ ต้องอาบัติเพราะความไม่ควร ของที่ควรว่าไม่ควร ของที่ไม่ควรว่าควร นี่มันเป็นอาบัติทั้งนั้นแหละ คำว่าเป็นอาบัติ เพราะเราทำไปโดยสติปัญญาของคน บางคนมีปัญญามาก คิดสิ่งใดนี่ปัญญาเลอเลิศ แต่ แต่กาลเทศะมันไม่ได้ นี่ทางการวิจัยทางธุรกิจเขาบอกว่าตลาดมันเล็ก ตลาดมันยังไม่สมควรแก่การลงทุน เขาลงทุนไปมันไม่ได้ แต่ถ้าตลาดมันสมควรแก่การลงทุนนั้น ลงทุนแล้วมีผลตอบแทนที่มันคุ้มทุน เขาทำของเขาได้

นี่อำนาจวาสนาของคนมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่เราคิดได้ แต่เราทำไม่ได้ แต่คนอื่นเขาคิดได้ แล้วเขาทำของเขาประสบความสำเร็จของเขา เห็นไหม นี่เวลาหลวงตาท่านบอกว่า

“เวลาเราทำบุญกุศลของเรานะ บุญนี่จะมาช่วยต่อเติมเรา”

คำว่าต่อเติมเรานะ เราทำสิ่งใดขาดตกบกพร่อง สิ่งนั้นมันจะมาเติมเต็ม แต่ถ้าเราไม่มีบุญของเรา เราทำสิ่งใด เห็นไหม เราคิดได้ เราทำได้ แต่ทำแล้วประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ ความสำเร็จของเรา เราปรารถนาตรงนั้น นี่พูดถึงเรื่องทางโลกนะ คำว่าอิทธิพลๆ ถ้าอิทธิพลในทางคุณงามความดีก็มีอิทธิพลเหมือนกัน แต่อิทธิพลอย่างนี้มันชักนำให้คนทำคุณงามความดี แต่ถ้าอิทธิพลทางโลก นี่พอมีทางโลกเพราะมันขาดสติ

คำว่าขาดสตินะ เวลามันมีการเยินยอ ใครถ้ามีอำนาจ ทุกคนจะเข้าไปสู่อำนาจนั้น พอเข้าสู่อำนาจนั้น มันก็เข้าไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ หาผลประโยชน์ของเขานะ แต่ถ้าเป็นธรรมของเรา เรามีสติปัญญาของเรา สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ เราก็เข้าใจว่าเป็นประโยชน์ ประโยชน์ทางโลก เราก็เข้าใจว่าประโยชน์ทางโลก วัตถุสิ่งของมันเป็นสมบัติสาธารณะ มันอยู่กับโลกนี้ คุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีของเรา

ถ้าทำคุณงามความดีทางโลกเขา เขาทำความดีของเขาเพื่อให้คนเข้าใจว่าเขาเป็นคนดี แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราทำความดีเพื่อเราเอง เราปิดทองหลังพระ ปิดทองก้นพระด้วยนะ เวลาเราทำคุณงามความดีของเรา เราต้องเอาชนะจิตใจของเรา นี่เรากำหนดพุทโธ พุทโธ ถ้าจิตเราควบคุมใจของเราได้ เราจะมีอำนาจ มีอำนาจ เห็นไหม มันจะมีกำลังเป็นสมาธิได้ ถ้ามีสมาธิได้มันจะเกิดปัญญาได้ ถ้าคนเกิดปัญญา เขาบอกว่าปัญญาจะครอบครองโลกนะ ใครถ้ามีปัญญา เขาแข่งขันกันด้วยปัญญา

ทีนี้ปัญญาของโลก ปัญญาการเล่ห์เหลี่ยม ปัญญาการฉ้อฉล ต้องทันกันเพื่อการปกครองทางโลก แต่เวลาจิตใจของเรา เวลาเราคิดของเรา นี่มันว่ามีความถูกต้อง มีความถูกต้องดีงามไปทั้งนั้นแหละ ความดีงามเพราะมันเป็นเรา สิ่งที่เป็นเรา เห็นไหม นี่เพราะเราขาดสติ เพราะอำนาจเราอ่อนแอ อำนาจเราอ่อนแอลงนะ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันจะเข้มแข็งขึ้น แล้วมันจะมีอำนาจเหนือหัวใจเรา พอมีอำนาจเหนือหัวใจเรานะ เราทำสิ่งใดขาดสติเราว่าเราถูกต้องทั้งนั้นแหละ เราไม่มีสติปัญญายั้งคิดได้เลยว่าที่ทำไปนี่มันกระทบกระเทือนใคร

มันกระทบกระเทือนนะ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเบียดเบียนตน แล้วก็เบียดเบียนผู้อื่น มันเบียดเบียนหัวใจ เพราะมีอำนาจเหนือหัวใจนี้ มันเหยียบย่ำหัวใจนี้แล้วมันก็ไปเบียดเบียนผู้อื่น พอเบียดเบียนผู้อื่น เราว่าเราทำถูกต้อง เราปรารถนาดี เวลาบอกว่าเราปรารถนา เราตั้งใจทำคุณงามความดี เราตั้งใจทำคุณงามความดี ปรารถนาดี คนเขานอนอยู่ เขานอนหลับอยู่ เราปรารถนาดีไปปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา ปลุกเขาตื่นขึ้นมาเพื่อจะให้ธรรมะเขา

เขานอนหลับพักผ่อนของเขา เขายังไม่ตื่นขึ้นมา เขารับรู้สิ่งใดกับเราไม่ได้หรอก ถ้ารับรู้สิ่งใดไม่ได้ เราก็เขย่าเขา ปลุกเขาขึ้นมา พอปลุกเขาขึ้นมา เราปรารถนาดีๆ ไอ้คนที่เราไปปลุกเขาขึ้นมาเขาอึดอัดมาก ปรารถนาดีอะไรเขาจะพักผ่อนของเขา มันไม่ใช่เวลาของเขา แต่ถ้าเขาตื่นขึ้นมา เห็นไหม แล้วเขาแสวงหา การแสวงหานะ เวลาธรรมะ นี่เวลาจะเตือนกันนี่ไง เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดมันถึงลึกซึ้งไง

“การแก้จิตนี้แก้ยากมานะ”

การแก้จิต เพราะการแก้จิต เห็นไหม ทุกคนนี่ความคิดของตนก็ว่าตัวเองถูกต้องทั้งนั้นแหละ การแก้จิตมันต้องมีอุบาย มันต้องมีกุศโลบาย กุศโลบายว่าสิ่งที่ทำอยู่นี่มันถูกต้องไหม? ถ้ามันถูกต้อง มันถูกต้องของโลกนะ เวลาถูกต้องของโลก กาลเทศะมันมีหรือเปล่า? ทางโลกเขายังต้องมีกาลเทศะ เขามีมารยาทนะ คำว่ามารยาทนั้นมารยาททางสังคม

ประเพณีวัฒนธรรม เราบอกประเพณีวัฒนธรรมไม่ใช่ธรรม เวลาเราประพฤติปฏิบัติของเรา เวลาอยู่กับสังคมมันก็ต้องมีประเพณีวัฒนธรรม แต่จิตใจของเราล่ะ? จิตใจของเรา เวลาประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะต้องเข้มแข็งมากกว่านั้น ถ้าเข้มแข็งมากกว่านั้น เห็นไหม นี่มันต้องเด็ดเดี่ยว วัฒนธรรมมันก็บอกว่าอะลุ่มอล่วยกัน อะลุ่มอล่วยกัน นี่เรื่องของโลก มันต้องมีการออมชอม มันต้องมีการปรึกษาหารือกัน อันนั้นเป็นเรื่องของโลก มันก็ต้องแบ่งปันกันให้เหตุผลของโลกกับเหตุผลของธรรม แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัตินี่เหตุผลของเรา

เวลาเหตุผลของเรา ถ้าเหตุผลของเรา เราต้องมีสัจจะ ถ้ามีสัจจะ ศีลมันก็เป็นปกติของมัน แต่ถ้าเราไม่มีสัจจะนะ เราพูดสิ่งใด เราปรารถนาทำสิ่งใด เราก็อ่อนแอ เราทำสิ่งนั้นไม่ได้ เห็นไหม นี่ถ้าอำนาจโดยสติปัญญาของเรา อำนาจโดยธรรมของเราอ่อนแอลง สิ่งนี้มันจะมีมากขึ้น แต่ถ้าเรามีสติปัญญา นี่อำนาจโดยธรรมมันมากขึ้น เรามีเหตุมีผลแล้ว มีเหตุมีผล ชีวิตนี้เกิดมาทำไม? ชีวิตนี้คืออะไร? เกิดมานี่เกิดมาทำไม? แล้วเกิดมานี่เกิดมาทุกข์ยากเพื่ออะไร?

แล้วถ้าเกิดมาทุกข์ยาก เรามันคนมืดบอด เรามันคนไม่มีสติปัญญา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เห็นไหม จิตนี้ไม่เคยตาย เวียนตายเวียนเกิดมา เพราะเวียนตายเวียนเกิดมาในปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนอดีตชาติไป นี่ทำไมเราถึงมาเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าเพราะเหตุใด? เหตุเพราะมันมีเหตุมีผลรองรับมาตลอด แล้วถ้าไม่เป็นพระพุทธเจ้า นี่มันจุตูปปาตญาณมันไปข้างหน้าอย่างใด?

นี่จิตมันเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าเป็นสภาวะแบบนั้น นี่การเวียนตายเวียนเกิดมันมีของมัน ถ้ามีของมัน เห็นไหม ชีวิตนี้เกิดมาทำไม? ถ้าเกิดมานะ เกิดมาเพราะมันมีอำนาจวาสนาไง เกิดมานี้เป็นผลของวัฏฏะนะ ผลของวัฏฏะ เราต้องมีเวรมีกรรมต่อกัน เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “คนที่เกิดมานี่ไม่เคยเป็นญาติ เป็นพี่ เป็นน้องกันในชาติใดชาติหนึ่งเลยไม่มี” คนที่เวียนเกิดเวียนตาย ที่เป็นมนุษย์ทั้งโลก ที่ไม่เคยเป็นญาติพี่น้องกันเลยในชาติใดชาติหนึ่งไม่มีเลย ไม่มี เพราะการเกิดการตายนี้มันซับซ้อนมากนัก มันซับซ้อนมากนัก

ฉะนั้น การเกิดการตายนี้เป็นผลของวัฏฏะ ทีนี้ผลของวัฏฏะนี่เราเกิดมาทำไม? เราเกิดมา ถ้าเราเกิดทางวิทยาศาสตร์เราก็พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าคนเกิดเพราะอะไร? จิตวิญญาณมาจากไหน? ก็พิสูจน์กันไป แต่เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะมันพิสูจน์โดยจิตไง เพราะจิตดวงนี้มันเกิดมันตาย พอมันเกิดมันตาย พอมันเกิดมาเป็นมนุษย์ ความเกิดเป็นมนุษย์ ในวัฏฏะนี้การเกิดเป็นมนุษย์มีคุณค่ามาก มีคุณค่าเพราะเกิดเป็นมนุษย์มันมีอิสรภาพ ทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ เวลาเป็นเทวดา อินทร์ พรหมนะเขาก็อยู่โดยความสุขของเขา เขาอยู่ในสถานะทิพย์ของเขา เวลานรกอเวจีนะเขาก็ต้องอยู่ในกฎกติกา โดนบังคับอยู่ตลอดเวลา แต่เวลาเกิดเป็นมนุษย์นี่สิทธิอิสรภาพ เรามีเสรีภาพจะทำสิ่งใดก็ได้

ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม ถ้าเราปฏิบัติธรรม อำนาจโดยธรรม ถ้าธรรมมันมีกับเรา นี่ชีวิตนี้มันเกิดมาจากไหน? เกิดมาทำไม? เวลาเกิดมาแล้ว เวลาตายแล้วตายไปไหน? ถ้าตายไปไหนนะเราทำประโยชน์ก็ประโยชน์กับโลกนะ เวลาทำประโยชน์กับโลก เห็นไหม เพราะชีวิตนี้มันต้องมีของมันอยู่ เวลาเราเกิดมามันต้องมีปัจจัย ๔ เวลาเป็นเทวดา อินทร์ พรหมเขาอาหารเป็นทิพย์ของเขา เวลาเกิดเป็นมนุษย์นี่อาหารเป็นคำข้าวของเรา มันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย

ชีวิตจะดำรงอยู่ได้อย่างไร? ชีวิตเกิดมา เห็นไหม ดูสิพ่อแม่เลี้ยงดูมา ทะนุถนอมมาขนาดไหน? แล้วเราจะเลี้ยงตัวเอง เราเลี้ยงตัวเองไม่ได้หรือ? เวลาพ่อแม่เลี้ยงดูมา ดูสิป้อนข้าวป้อนน้ำมาเพื่อจะให้เติบโตขึ้นมา พอเติบโตขึ้นมา เราโตขึ้นมาแล้วเราต้องเลี้ยงตัวเราเอง ปัจจัย ๔ เราต้องดำรงชีวิตของเรา นี้ดำรงชีวิตของเราในภพชาตินี้ ถ้าเรามีสติปัญญานะ ในภพชาตินี้เราก็ได้ทำของเรา เราทำของเรานะ คนถ้าเป็นคนดี คนมีสติปัญญา นี่เป็นคนดีมันถึงจะมีสติปัญญาคิดถึงอริยทรัพย์ คิดถึงคุณงามความดีที่แท้จริง

คุณงามความดีที่แท้จริง เห็นไหม เวลาสุข เวลาทุกข์ ถ้าเรามีธรรมในหัวใจ ถ้ามีธรรมในหัวใจมันจะแยกแยะได้ นี่แยกแยะได้ว่าอะไรควรและไม่ควร เวลาอะไรควรและไม่ควรนะ เวลาประพฤติปฏิบัติไปถึงขั้นอนาคานะ พระอนาคาจะมีความสุขขนาดไหน? เป็นพระโสดาบัน เป็นสกิทา เป็นอนาคา พอเป็นอนาคานะ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เวลามันเศร้าหมอง เห็นไหม เวลามันเศร้าหมอง มันทำให้เศร้า อาลัย อาวรณ์ กิเลสที่ละเอียดมันไม่ใช่ความสุขความทุกข์ที่มันต้องมีอารมณ์สัญญาความรู้สึก มันแค่อาลัยอาวรณ์ มีความอาลัยอาวรณ์ มีความห่วงใย อันนี้ทุกข์อันละเอียด ถ้าทุกข์อันละเอียดนะ ถ้าทุกข์อันละเอียด นี่พูดถึงพระอนาคานะ แต่ของเราเป็นปุถุชน เวลาความรู้สึกนึกคิดมันเหยียบย่ำเราก็ไม่รู้ เราว่าเป็นเรา สรรพสิ่งนี้เป็นเรา เราคิดถูกต้อง เราเจตนาดี เราปรารถนาดี เราเป็นคนดี เราทำเพื่อชีวิตของเรา มันก็ทำเพื่อโลก เห็นไหม ทำเพื่อโลก ทำเพื่อโลก แต่ถ้ามันจะทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อหัวใจมันต้องมีสติปัญญา ให้มันปล่อยวางให้ได้

การสละออก การเสียสละวัตถุนี้เพื่อเป็นการแสดงค่าของน้ำใจ ค่าของน้ำใจมันเสียสละวัตถุขึ้นมาเพื่อมันเป็นสาธารณะ จิตที่เป็นสาธารณะ แต่เวลาเรามีสติปัญญานะ กำหนดพุทโธ พุทโธทำให้มันสงบระงับเข้ามา นี่มันสละ สละตัวมันเป็นเอกเทศ เวลาเราบอกว่าสิทธิเสรีภาพ เสรีภาพ ถ้าจิตมันเป็นสิทธิเสรีภาพโดยที่ไม่มีสัญญาอารมณ์ ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงครอบงำมันนะ มันจะเป็นอิสรภาพของมันโดยธรรมชาติของมัน

นี่สัมมาสมาธิ มันมีธรรม อำนาจวาสนา นี่ธรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความเห็นถูกต้อง ถ้ามันรู้ของมัน มันเห็นของมันนะมันจะมีค่า ถ้ามีค่าขึ้นมา เห็นไหม ความอาลัยอาวรณ์มันก็ไม่มี ความเครียด ความวิตกกังวลมันก็ไม่มี มันไม่มีเพราะอะไร? เพราะมันเป็นอิสระ มันไม่มีสิ่งใดเข้าไปเจือปนมันเลย นี้เป็นสัมมาสมาธิ แล้วเกิดถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญาของมันไป ปัญญานี้มันจะเกิดอริยทรัพย์ ถ้ามันเกิดอริยทรัพย์ที่แยกแยะว่าสรรพสิ่งในโลกนี้

“สรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา”

นี้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ นี่สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะนี้เป็นอนัตตา อนัตตาเพราะอะไร? เพราะจิตมันเห็น มันฝึกฝนของมัน ถ้ามันฝึกฝนของมันนะ นี่สิ่งที่เป็นธรรม เป็นธรรมรส เป็นธรรมโอสถ นี่มันจะไปรักษาใจของมัน ถ้ารักษาใจของมัน มันคลายพิษ คลายสักกายทิฏฐิความเห็นผิด ถ้ามันคลายของมัน นี่เวลาเราเกิดมา นี่เราเกิดมาทำไม? ผลของวัฏฏะเราเกิดมาโดยเวรโดยกรรม ผลของวัฏฏะมันต้องเกิด จิตนี้มันมีแรงขับ มันตายจากมนุษย์ไปก็ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม หรือตายจากมนุษย์ก็เกิดเป็นมนุษย์ มันมีแรงขับของมัน มันต้องไปตามธรรมชาติของมัน

นี่ธรรมชาติคือการเกิดและการตาย นี่ผลของวัฏฏะ เวลามีสติปัญญาขึ้นมามันคลายออก คลายแรงขับอันนี้ออกไปมากเข้าๆ จนถึงที่สุด จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส พอข้ามพ้นกิเลส เห็นไหม มันไม่ใช่ผ่องใส เพราะมันผ่องใสมันก็เศร้าหมอง พอมันผ่องใส มันเศร้าหมอง มันไม่มีสิ่งใดที่ไปครอบงำมัน แต่มันก็ยังอาลัยอาวรณ์ในตัวของมัน มันเป็นขันธ์ ๑ ขันธ์ ๑ ก็เกิดบนพรหม

แต่ถ้าเป็นศักยภาพที่เราพิจารณาของเรานะ เวลามันพ้นไปแล้ว นี่มันพ้นภวาสวะ พ้นหมด ไม่มีสถานะใดๆ ทั้งสิ้น พอไม่มีสถานะ ไม่มีสถานที่ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีที่เป็นจุดหมาย เห็นไหม มารมันถึงหาไม่เจอไง

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดบนจิตของเราไม่ได้อีกเลย เจ้าจะเกิดบนดวงใจของเราไม่ได้อีกเลย”

นี่สิ่งนี้ถ้าเรามีอำนาจโดยธรรม มีอำนาจโดยธรรมมันจะแสวงหา มันมีการกระทำ แล้วเวลากระทำในหัวใจ เราบอกว่าพระไม่มีงานทำ ไม่มีงานทำ พระนี่นะพยายามเอาจิตของเรา เอาความรู้สึกนึกคิดของเราไว้ในอำนาจของเรา เห็นไหม อำนาจโดยธรรมไว้ในอำนาจของเรา เราไม่ได้เอาสมบัติของใครเลย ไม่ได้เอาความรู้สึกของใครเลย เอาความรู้สึกนึกคิดของเรา เอาสิ่งที่เป็นในหัวใจของเราไว้ในอำนาจของเรา แล้วเราก็พิจารณา เราก็แยก เราก็แยะด้วยสติ ด้วยปัญญาของเรา นี่งานของพระ งานของผู้ที่จะเอาอริยทรัพย์จากภายใน ถ้ามันแยก มันแยะ มันพิจารณาของมันนะ มันรื้อมันถอนของมัน ด้วยสติปัญญาของมันนะ มันจะคลายออกๆ เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

นี่อำนาจของโลก หามาแล้วเราก็หลงใหลมันไป อำนาจทางธรรมมันจะทำให้เราฉลาด เวลาพระอริยเจ้านะนิ่งอยู่ นิ่งอยู่เพราะอะไร? ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า” ความนิ่งอยู่เพราะเขารู้ว่าโลกรู้กับเราไม่ได้ เราพูดเรื่องอริยทรัพย์ เขาจะพูดแต่เรื่องทรัพย์ของโลก ถ้าเรื่องอริยทรัพย์คนมันจะรู้ด้วยไม่ได้ แต่ถ้าจิตใจของผู้ที่มีคุณธรรมด้วยกันมันจะรู้ได้ ฉะนั้น ถ้าเขารู้ไม่ได้ เราบอกเขาไปมันพูดคนละเรื่องเดียวกัน

เวลาครูบาอาจารย์แสดงธรรม เห็นไหม เวลาทางโลกเขาใช้สติปัญญาของเขาเทียบเคียง แต่เวลาธรรมของครูบาอาจารย์ออกมาจากใจ ออกมาจากใจมันเป็นข้อเท็จจริง นี่มันคนละเรื่องเดียวกัน ฉะนั้น เวลาพูดไป คนที่ฟังแล้วก็ซับเอาว่าเข้าใจ แต่เดี๋ยวก็พลั้งเผลอ แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงมันจะอยู่กับความจริงตลอดไป ความจริงมันเป็นแบบนี้นะ นี่อำนาจโดยโลก

ถ้าเรามีโดยอำนาจวาสนาบารมี เราก็มีของเรา แต่เราไม่หลงใหลไปกับมัน แต่ถ้าอำนาจของธรรมเรามีขึ้นมาได้นะ มันมีสติ มันมีปัญญา มันควบคุมหัวใจของเราได้ มันจะทำหัวใจเราไม่ให้เร่าร้อนจนเกินไปนัก แล้วมันฝึกฝนขึ้นมาจนมันมีกำลังขึ้นมา แล้วเราจะรู้จริงเห็นจริงในหัวใจของเรา นี้คือธรรมที่เราแสวงหากัน เราแสวงหาได้แล้วมันก็จะเป็นธรรมะส่วนบุคคล ที่เราศึกษากันนี้เป็นธรรมะสาธารณะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก คือธรรมะส่วนบุคคล คือจิตนั้นมันสัมผัส มันรับรู้ของมัน แล้วเป็นความจริงของมัน นี้คือเป้าหมายที่เราจะแสวงหา

เราทำบุญกุศลกันนี้เป็นอามิส เพื่อให้ทุกอย่างบุญกุศลช่วยเกื้อกูลให้ชีวิตนี้ราบรื่น ให้การปฏิบัติราบรื่น นี่เราทำบุญกุศลกันเพื่อเหตุนี้ แต่เวลาจะพ้นทุกข์ เวลาจะพ้นจากกิเลสเราจะต้องใช้ปัญญาของเรา เราจะต้องจิตแก้จิต ปัญญาแก้กิเลส แล้วเราจะเห็นธรรม แล้วเราจะซาบซึ้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา เอวัง